ขณะนี้ได้มีข่าวเกี่ยวกับสาร SLS ( Sodium Lauryl Sulfate) ว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้ต่างประเทศได้ยกเลิกการใช้สารประเภทนี้ไปแล้ว แต่ในประเทศไทยยังมีการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง โดยเฉพาะสบู่เหลว ซึ่งใช้กันทุกเพศทุกวัย อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไม่ได้นิ่งนอนใจได้ทำการสืบค้นและติดตามข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารที่ใช้ในเครื่องสำอางมาโดยตลอด โดยเฉพาะกรณี ความปลอดภัยของสาร SLS ( Sodium Lauryl Sulfate) ในเครื่องสำอาง
สารโซเดียม ลอริล ซัลเฟต หรือที่นิยมเรียกในชื่อย่อว่า เอสแอลเอส (Sodium Lauryl Sulfate : SLS) เป็นสารที่มีคุณสมบัติลดแรงตึงผิวของน้ำ ทำให้เกิดฟอง ช่วยให้สิ่งสกปรก คราบไขมันหลุดออกไปได้ง่ายขึ้น จึงเรียกง่ายๆ ว่าเป็นสารทำความสะอาด นิยมใช้ทั้งในวงการอุตสาหกรรมและเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น เครื่องสำอาง น้ำยาล้างจาน (โดยใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้) เครื่องสำอางที่นิยมผสมสารนี้ ได้แก่ เครื่องสำอางที่ใช้แล้วล้างออกด้วยน้ำ เช่น สบู่เหลว แชมพู ตลอดจนยาสีฟัน
และจากการศึกษาวิจัยทั้งในสัตว์ทดลองและในคน พบว่าอันตรายของสารนี้ คือ ระคายเคือง ต่อดวงตา และผิวหนัง โดยความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารนี้ในผลิตภัณฑ์ และระยะเวลาที่ผลิตภัณฑ์สัมผัสร่างกาย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนสรุปว่าสาร SLS มีความเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดมะเร็งในคน ซึ่งข้อมูลความเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดมะเร็งจากสารกลุ่มนี้ อาจมาจากสิ่งปนเปื้อนที่เป็นสารก่อมะเร็ง คือ 1,4 Dioxane แต่ปัจจุบันในกระบวนการผลิตสารทำความสะอาด สามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนนี้ได้ด้วยการใช้ระบบสูญญากาศ (ซึ่งไม่เป็นภาระเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก) อีกทั้งได้มีการศึกษาพบว่า โอกาสที่จะพบ 1,4 Dioxane ในเครื่องสำอางสำเร็จรูปมีน้อย จึงไม่ควรกังวลว่าสาร SLS ในเครื่องสำอางจะก่อให้เกิดมะเร็ง
ทั้งนี้เครื่องสำอางที่ผสมสาร SLS อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้บ้าง เช่น แชมพูเข้าตาทำให้แสบตา หรือฟอกสบู่เหลวนานเกินไป อาจระคายเคืองผิว ทำให้ผิวแห้งได้ ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย รวมทั้งประเทศไทย มิได้ห้ามใช้สารนี้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง แต่หากผู้บริโภคต้องการหลีกเลี่ยงสาร SLS ในเครื่องสำอาง สามารถเลือกใช้เครื่องสำอางที่ฉลากระบุว่า “ Sodium Lauryl Sulfate Free” ได้
ขณะนี้มีสารทำความสะอาดอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กัน คือ Sodium Laureth sulfate (SLES) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่า SLS และยังไม่มีข้อมูลความเสี่ยงเกี่ยวกับการเป็นสารก่อมะเร็ง
ดังนั้น ผู้บริโภคไม่ควรตื่นตระหนกกับเรื่องนี้จนเกินไป หากพบข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสาร หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ โดยเฉพาะข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเชิงบวก หรือเชิงลบ จำเป็นต้องตรวจสอบแหล่งที่มา ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ตลอดจนข้อเท็จจริงต่างๆ ให้กระจ่างชัด ก่อนที่จะดำเนินการหรือตัดสินใจใดๆ
เรามีสินค้าจากสารสกัดธรรมชาติ คุณภาพส่งออก ราคาไทยๆครับ ขายปลีก -ส่ง สนใจ สอบถาม 081-7034280,0869099742(วรพล)
วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554
สารกันเสียในเครื่องสำอางค์
สารกันเสีย (Preservative)
สารกันเสีย (Preservative) เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อยีสต์ เพื่อป้องกันมิให้เครื่องสำอางเสียง่าย เช่นการเติมในครีมทาผิวเพราะมีการแต่งกลิ่นและอาจใช้แป้งเป็นส่วนประกอบ ทำให้เกิดการบูดเสียได้ จึงต้องใส่สารกันเสียป้องกัน
สารกันเสียที่ใช้สำหรับเครื่องสำอางมีหลายชนิด เช่น Bronopol (2-bromo-2-nitropropane-1,3-diol หรือ BNPD) ฟอร์มาดีไฮด์ (formaldehyde) อิมิดาโซลิดินิลยูเรีย (imidazolidinyl urea) เมทิลคลอโรไอโซไทอะโซลิโนน (methylisothiazolinone) และ ฟีโนซีเอทานอล (phenoxyethanol) EDTA (ethylene diamine tetreacetic acid) และสารกลุ่มพาราเบน (paraben) ได้แก่ เมทิลพาราเบน (methyl paraben) เอทิลพาราเบน (ethyl paraben) โพรพิลพาราเบน (propyl paraben) และ บิวทิลพาราเบน (butyl paraben)
สารกลุ่มพาราเบน
พาราเบนที่นิยมใช้มี 3 ชนิด ได้แก่ เมทิลพาราเบน เอทิลพาราเบน และ โพรพิลพาราเบน ซึ่งมีชื่อสารเคมี ชื่อพ้อง สูตรโครงสร้างทางเคมี ดังนี้
ชื่อสารเคมี ชื่อพ้อง สูตรโครงสร้างทางเคมี
..........
ชื่อสารเคมี | เมทิลพาราเบน | เอทิลพาราเบน | โพรพิลพาราเบน |
ชื่อพ้อง | Methylparahydroxy benzoate 4-hydroxybenzoic acid methyl ester | Ethylparahydroxy benzoate 4-hydroxybenzoic acid ethyl ester | Propylparahydroxy benzoate 4-hydroxybenzoic acid propyl ester |
สูตรโมเลกุล | C 8 H 8 O 3 | C 9 H 10 O 3 | C 10 H 12 O 3 |
สูตรโครงสร้างทางเคมี | |||
ลักษณะภายนอก | ผงผลึก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น | ผงผลึก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น | ผงผลึก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น |
น้ำหนักโมเลกุล | 152.14 | 166.17 | 180.2 |
จุดหลอมเหลว ( องศาเซลเซียส ) | 131 | 116 | |
จุดเดือด ( องศาเซลเซียส ) | 270-280 | 297-298 | 96.2 - 98 |
การละลาย | ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ อะซีโตน อีเทอร์ ละลายได้น้อยในน้ำ (1 ส่วนในน้ำ 400 ส่วน หรือ 0.30% w/w ที่ 25 ? C) | ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ อะซีโตน อีเทอร์ ละลายได้น้อยในน้ำ (0.075% w/w ที่ 25 ? C) | ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ อะซีโตน อีเทอร์ ละลายได้น้อยในน้ำ (1 ส่วนในน้ำ 2000 ส่วน ) |
กลไกการออกฤทธิ์
พาราเบนเป็นสารเอสเทอร์ของกรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (para-hydroxybenzoic acid)
ออกฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพแบบการยับยั้งเซลล์ (cytostatic activity) มากกว่าฆ่าเซลล์ (cytocidal activity) เมื่อใช้เดี่ยวๆ ออกฤทธิ์ต้านเชื้อราได้ดีมาก แต่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้จำกัด และเมื่อใช้ร่วมกัน เช่น เมทิลพาราเบนร่วมกับโพรพิลพาราเบน จะออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ดีขึ้น โดยออกฤทธิ์ต่อเชื้อแกรมบวกดีกว่าแกรมลบ ฤทธิ์การต้านเชื้อจะมีประสิทธิภาพดีที่ความเป็นกรด-ด่างระหว่าง 3-8 ที่ความเป็นด่างมากกว่า 8 สารกลุ่มนี้ถูกไฮโดรไลซีสและหมดประสิทธิภาพการเป็นสารกันเสีย
เมื่อเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านจุลชีพจากมากไปน้อยเป็นดังนี้ โพรพิลพาราเบน > เอทิลพาราเบน > เมทิลพาราเบน โดยจากสูตรโครงสร้างโพรพิลพาราเบนมีสายคาร์บอนที่ยาวที่สุด จึงแพร่เข้าเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อจุลชีพได้ดีกว่า จึงออกฤทธิ์ดีกว่าพาราเบนอื่นๆ
ประโยชน์
สารกลุ่มพาราเบน เป็นสารกันเสียที่ราคาไม่แพงและที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขเมื่อใส่ในปริมาณที่กำหนด นิยมใช้กับเครื่องสำอางประเภท แชมพู ครีมนวดผม ครีมบำรุงผิวหน้า ครีมทำความสะอาด ครีมสำหรับเล็บ น้ำยาดัดผมถาวร และ ยาสีฟัน
ปริมาณพาราเบนที่กำหนดไว้ได้แก่
1. เมทิลพาราเบน (methyl paraben) ใส่ได้ไม่เกินร้อยละ 0.25 โดยน้ำหนัก
2. โพรพิลพาราเบน (propyl paraben) ใส่ได้ไม่เกินร้อยละ 0.25 โดยน้ำหนัก
3. เมทิลพาราเบน รวมกับโพรพิลพาราเบน ใส่ได้ไม่เกินร้อยละ 0.25 โดยน้ำหนัก
อาการแสดงและการวินิจฉัย
กลุ่มศึกษาอาการผืนสัมผัสของอเมริกาเหนือ (North American Contact Dermatitis group) รายงานผลการศึกษาสารในเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ว่า สารกันเสียเป็นสารที่ทำให้ผู้ใช้เกิดการแพ้ ผื่นแพ้และระคายเคือง (allergy irritation) เป็นอันดับที่สองรองจากน้ำหอมหรือสารแต่งกลิ่นหอม (fragrances) ซึ่งสารกันเสียที่พบการแพ้ได้บ่อยได้แก่ พาราเบน ฟอร์มาลดีไฮด์ อิมิดาโซลิดินิลยูเรีย เมทิลคลอโรไอโซไทอะโซลิโนน และ ฟีโนซีเอทานอล
ผื่นจากเครื่องสำอาง อาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis) ผื่นระคายสัมผัส (Irritant contact dermatitis) ผื่นลมพิษสัมผัส (Contact urticaria) และสิวจากเครื่องสำอาง (Acne cosmetica) ที่พบบ่อยคือ ผื่นแพ้สัมผัสและผื่นระคายสัมผัส
การวินิจฉัย แพทย์ผิวหนังจะให้การวินิจฉัยว่าเป็นการระคายเคืองหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการทดสอบภูมิแพ้ โดยการปิดบนผิวหนัง (patch test) แล้วดูว่าเป็นการแพ้หรือไม่เสียก่อน เนื่องจากยังไม่มีการทดสอบการระคายเคืองทางตรง
ข้อควรระวัง
สารกลุ่มพาราเบน เป็นสารที่ค่อนข้างปลอดภัย และไม่พบการก่อให้เกิดพิษอันตราย อย่างไรก็ตามวารสารทางวิทยาศาสตร์รายงานผลการศึกษาในสัตว์ทดลองว่า เมื่อให้พาราเบนแก่หนูด้วยการรับประทาน พาราเบนจะออกฤทธิ์เลียนแบบ (mimic) ฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง โดยกลไกการออกฤทธิ์พบว่าพาราเบนจะถูกเมแทบอไลส์ด้วยปฏิกิริยาไฮโดรไลซีสโดยเอนไซม์เอสเทอร์เรส (esterase enzyme) ทำให้สูญเสียหมู่เอสเทอร์ ได้สารเมแทบอไลส์คือ กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก ที่สามารถจับกับ estrogen receptor ในร่างกาย อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานว่าพาราเบนก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมในสตรี และมีบางการศึกษารายงานว่าการใช้เครื่องสำอางประเภทที่ใช้บริเวณผิวหนัง เช่น สเปรย์ฉีดร่างกาย หรือยาระงับกลิ่นกายที่มีพาราเบน พบว่าพาราเบนดูดซึมผ่านผิวหนังต่ำมาก และถูกเมแทบอไลส์ด้วยเซลล์ที่ผิวหนังได้สารที่ไม่มีฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน
แม้ว่ายังมีรายงานที่ขัดแย้งกัน การใช้เครื่องสำอางที่มีพาราเบน ควรใช้อย่างระมัดระวัง เมื่อผู้ใช้เกิดผื่นแพ้ ควรหยุดการใช้เครื่องสำอางนั้นๆ ทันที และสังเกตว่าผื่นค่อยๆ หายไปหรือไม่
การเก็บรักษา
เอกสารอ้างอิง
พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535
Journal of Applied Toxicology vol 24, p. 5 available on http://www.organicconsumers.org./Journalreference
อารทรา ปัญญาปฏิภาณ ฟอร์มาลดีไฮด์ในเครื่องสำอางข่าวสารด้านยาและสุขภาพ ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 หน้า 14-18
U. S. Food and Drug Administration FDA Consumer November 1991; revised May 1995
http://www.cfsan.fda.gov/~dms/cos-safe.html
M.G. Soni, I.G. Carabin and G.A. Burdock Safety assessment of esters of p-hydroxybenzoic acid (parabens) Food and Chemical Toxicology, Volume 43, Issue 7, July 2005, Pages 985-1015
K. Morohoshi, H. Yamamoto, R. Kamata, F. Shiraishi, T. Koda and M. Morita Estrogenic activity of 37 components of commercial sunscreen lotions evaluated by in vitro assays.
Toxicology in Vitro, Volume 19, Issue 4, June 2005, Pages 457-469
นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ ผื่นจากเครื่องสำอาง http://www.thaicosderm.org/public-info/cosmetic.htm
AHAs และ BHAs
ปัจจุบันมีการใช้เครื่องสำอางผสม Alpha - Hydroxy Acids หรือ เอ เอช เอ (AHAs) เช่น กรดกลัยคอลิค (glycolic acid) กรดแลคติค (lactic acid) และ Beta – Hydroxy Acids หรือ บี เอช เอ (BHAs) เช่น กรดซาลิซิลิค (salicylic acids) อย่างแพร่หลาย ในขณะที่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ เอ เอช เอ ได้แก่ อาการระคายเคืองเล็กน้อย แสบผิว ผิวหนังร้อนแดง มีตุ่มพอง และไหม้
AHAs [Alpha-Hydroxy Acids] และ BHAs [Beta-Hydroxy Acids] เป็นสารที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง แต่เนื่องจากสารทั้งสองกลุ่มนี้มิได้เป็นสารห้ามใช้ หรือสารควบคุมพิเศษ หรือสารควบคุม ดังนั้นเครื่องสำอางที่ผสมสารเหล่านี้และไม่มีส่วนผสมของสารควบคุมพิเศษหรือสารควบคุม จัดเป็นเครื่องสำอางทั่วไป มีวางจำหน่ายทั่วไปทั้งที่ผลิตในประเทศและที่นำเข้าจากต่างประเทศ
AHAs เป็นกรดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ บางครั้งเรียก กรดผลไม้ (fruit acid) เนื่องจากที่มาของกรดนี้ คือ glycolic acid มาจากน้ำอ้อย lactic acid มาจากนมเปรี้ยว citric acid มาจากมะนาว สับประรด pyruvic acid มาจากมะละกอ malic acid มาจากแอปเปิ้ล tartaric acid มาจากเหล้าองุ่น สารสำคัญในกลุ่ม AHAs ที่พบในเครื่องสำอาง บนฉลากอาจระบุว่าประกอบด้วย
glycolic acid
lactic acid
malic acid
citric acid
glycolic acid + ammonium glycolate
alpha-hydroxyethanoic acid + ammonium alpha-hydroxyethanoate
alpha-hydroxyoctanoic acid
alpha-hydroxycaprylic acid
hydroxycaprylic acid
mixed fruit acid
tri-alpha hydroxy fruit acids
triple fruit acid, sugar cane extract
alpha hydroxy and botanical complex
L-alpha hydroxy acid
glycomer in crosslinked fatty acids alpha nutrium (three AHAs)
สารในกลุ่ม AHAs ที่นิยมใช้ในเครื่องสำอาง คือ glycolic acid และ lactic acid
BHAs ที่มีการกล่าวถึง คือ Salicylic acid ซึ่งใช้ในทางการแพทย์มานานแล้ว เป็นยาทาภายนอก ใช้รักษาโรคผิวหนังที่มีลักษณะหนา แข็งกระด้าง เช่น Salicylic acid 6% + Benzoic acid 12% ใช้รักษาเชื้อราที่ผิวหนัง Salicylic acid 10-12%, Salicylic acid 2-4% + Talcum ใช้โรยเท้าที่มีเหงื่ออกมาก ผิดปกติ Salicylic acid ที่ใช้ในเครื่องสำอางนั้นใช้เพื่อเป็นสารระงับเชื้อในผลิตภัณฑ์ ทาผิวบริเวณที่แข็งกระด้าง เช่น ส้นเท้า/ข้อศอก ช่วยลดริ้วรอย จุดด่างดำได้บ้าง ให้ใช้ที่ความเข้มข้นไม่เกิน 2%
การโฆษณาสรรพคุณของเครื่องสำอางที่ผสม AHAs หรือ BHAs ที่ปรากฏทางสื่อต่างๆ เช่น
o ทำให้ผิวเรียบ แลดูละเอียดมากขึ้น
o ทำให้ผิวแลดูสดใสมากขึ้น
o ทำให้ผิวแลดูเต่งตึงมากขึ้น
o ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
o ช่วยให้สีผิวจางลง
o ลดการอุดตันของรูขุมขน จึงใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับสิว
กลไกการรักษา
AHAs และ BHAs เป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็นกรด จะช่วยให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกออกไปได้เร็วขึ้น มองเห็นผิวที่อยู่ชั้นถัดไปที่ยังอยู่ในสภาพดี จึงแลดูผิวดีขึ้น AHAs เมื่อถูกทาลงบนผิวหนังจะถูกดูดซึมไปยังผิวหนังชั้นในสุด และไปทำลายแรงยึดเกาะระหว่างเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วในชั้น horny layer ทำให้เซลล์เหล่านี้ลอกหลุดง่ายขึ้น ซึ่งผลให้เซลล์ชั้นล่างลงไปขึ้นมาแทนที่ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน สดใสกว่าเดิม เนื่องจากเซลล์ในชั้น hormy layer ที่เกาะติดกันแน่นและไม่หลุดลอกออกจะไปอุดตันรูขุมขน เป็นสาเหตุของการเกิดสิว AHAs จึงช่วยให้เกิดสิวลดลง
ความเป็นพิษ
USFDA แจ้งว่าจากการศึกษา การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHAs เป็นองค์ประกอบอาจทำให้ผู้ใช้มีความไวต่อแสงแดดมากขึ้น โดยเฉพาะกับรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งอาจทำลายผิวหนัง และการใช้ยาขนาดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้ระยะยาว อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ซึ่งทั้ง USFDA และ EU อยู่ในระหว่างติดตามความปลอดภัยของสารนี้ แต่ยังมิได้มีการประกาศใช้บังคับในเรื่องปริมาณ หรือความเข้มข้นของสารแต่อย่างใด
USFDA ได้มีการประชุมเกี่ยวกับการใช้ AHAs ในเครื่องสำอางอย่างปลอดภัยนั้น ความเข้มข้นของ AHAs ต้องไม่เกิน 10 เปอร์เซนต์ และสูตรตำรับมีพีเอชมากกว่า หรือเท่ากับ 3.5 ส่วนผลิตภัณฑ์ในร้านเสริมสวยสำหรับการลอกหน้านั้น ความเข้มข้นของ AHAs ต้องไม่เกิน 30 เปอร์เซนต์ และสูตรตำรับมีพีเอชมากกว่า หรือเท่ากับ 3.0 ซึ่งต้องใช้โดยผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมมาแล้ว
อาการพิษ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ติดตามข้อมูลความปลอดภัยของการใช้สารกลุ่มนี้ในเครื่องสำอาง เพื่อให้ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น และพบว่า USFDA ได้รับรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ AHAs 100 ราย มีอาการตั้งแต่ระคายเคืองเล็กน้อย แสบผิว ผิวหนังร้อนแดง เป็นตุ่มพอง และผิวไหม้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาติดตามอาการไม่พึงประสงค์ หรือ ที่เรียกอีกอย่างว่า อาการแพ้จากการใช้เครื่องสำอาง โดยส่งแบบรายงานการแพ้ให้แพทย์ที่พบผู้ป่วยที่มารับการรักษา เนื่องจากแพ้เครื่องสำอางแล้วรายงานมายัง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พบว่าอาการแพ้ที่เกิดจากเครื่องสำอางผสม AHAs และ BHAs คือ ระคายผิว แสบผิว มีเม็ดผื่นคัน ผิวหนังร้อนแดง และเกรียม รายงานการแพ้ที่ได้รับเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากผู้ที่มีอาการแพ้บางราย อาจมิได้ไปพบแพทย์ หรือมิได้แจ้งให้แพทย์ทราบ หรือ แพทย์มิได้บันทึกลงในรายงาน
ข้อควรระวัง
เครื่องสำอางทุกชนิดต้องมีฉลากภาษาไทยที่แสดงข้อความบังคับอย่างครบถ้วน (ชื่อ ชนิด ส่วน ประกอบสำคัญ ชื่อและที่ตั้งผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และปริมาณสุทธิ) การใช้เครื่องสำอางใดเป็นครั้งแรก ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ โดยทาผลิตภัณฑ์ในปริมาณ เล็กน้อย ลงบนบริเวณท้องแขน ทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง ถ้าไม่มีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้น แสดงว่าใช้ได้
เนื่องจากประเทศไทยอากาศร้อน แสงแดดจัดจ้า ตามปกติควรหลีกเลี่ยงแสงแดดอยู่แล้ว และ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้เครื่องสำอางผสม AHAs และ BHAs ต้องหลีกเลี่ยง หรือ ป้องกันผิวจากแสงแดดเป็นพิเศษโดยการ
- ไม่ออกไปอยู่กลางแจ้งขณะแดดจัด
- สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวมิดชิด หรือกางร่ม เมื่ออยู่กลางแจ้ง
- ใช้เครื่องสำอางผสมสารป้องกันแสงแดด ที่ระบุค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป
หากใช้แล้วเกิดอาการระคายเคืองแสบผิว หรือผิวหนังร้อนแดงเป็นระยะเวลานาน ให้หยุดใช้และปรึกษาแพทย์ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์นี้ในเด็กและเด็กทารกด้วย
บรรณานุกรม
1.
http://www.fda.moph.go.th/fda-net/html/product/cosmetic/cosmetic/dat/article/aha-bha.htm
2. http://www.cfsan.fda.gov/~dms/cos-aha.html
3. http://sasuk12.com/trang/Med/fdanew/AHA1.htm
2. http://www.cfsan.fda.gov/~dms/cos-aha.html
3. http://sasuk12.com/trang/Med/fdanew/AHA1.htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)